วิธีการคิดและการกำหนดราคาค่าจัดส่ง
ค่าจัดส่งไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ต้องเก็บจากลูกค้า แต่คือ กลยุทธ์ ที่จะทำให้ร้านค้าปิดการขายได้ง่ายขึ้น หรือใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่ม
BentoWeb มีหลายวิธีในการตั้งค่าค่าจัดส่ง คุณควรเข้าใจ ข้อดี–ข้อควรระวัง ของแต่ละแบบ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
👉 สำหรับขั้นตอนการตั้งค่าในระบบ: วิธีตั้งค่าช่องทางการจัดส่งสินค้าแบบกำหนดเอง (Delivery Method)
1. Flat Rate (คงที่)
คืออะไร: เก็บค่าจัดส่งราคาเดียวต่อออเดอร์ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อกี่ชิ้นหรือน้ำหนักเท่าไร
✅ เหมาะเมื่อ:
- สินค้าส่วนใหญ่มีน้ำหนัก/ขนาดใกล้เคียงกัน
- ต้องการความเรียบง่าย ลูกค้ารู้ชัดว่าค่าส่งเท่าไหร่
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ถ้าขายทั้งของเบาและของหนัก อาจทำให้บางออเดอร์ขาดทุนค่าขนส่ง
- การตั้งค่าช่องทางการจัดส่งที่คำนวนแบบ Flat Rate หลายตัวพร้อมกัน อาจทำให้ลูกค้าสับสนตอน checkout
📌 Pro Tip: ใส่ 0
เพื่อทำเป็น Free Shipping ได้ทันที
2. คิดตามราคารวมในตะกร้า
คืออะไร: กำหนดค่าส่งตามยอดซื้อรวม เช่น ยอดน้อยเสียค่าส่งมาก แต่ถ้าซื้อถึงขั้นต่ำส่งฟรี
✅ เหมาะเมื่อ:
- ใช้เป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดเฉลี่ย (Average Order Value)
- กระตุ้นให้ลูกค้า "ซื้อเพิ่มอีกนิดเพื่อให้ได้ส่งฟรี"
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ต้องวาง threshold ให้ดี ถ้าตั้งสูงเกินไป ลูกค้าอาจรู้สึกว่าเอื้อมไม่ถึง
- ถ้า threshold ต่ำเกินไป อาจทำให้ร้านเสียกำไร
📌 Pro Tip: ตั้ง threshold ให้สัมพันธ์กับ ยอดซื้อเฉลี่ยปัจจุบัน ของร้าน เช่น ถ้าลูกค้าซื้อเฉลี่ย 800 บาท → ตั้ง threshold ฟรีค่าส่งที่ 1,000 บาท จะกระตุ้นให้ลูกค้าเพิ่มสินค้าได้โดยไม่ยากเกินไป
3. คิดตามจำนวนสินค้ารวม
คืออะไร: ค่าส่งเปลี่ยนตามจำนวนชิ้นรวมในตะกร้า
✅ เหมาะเมื่อ:
- ขายสินค้าเล็ก ๆ ที่ต้นทุนจัดส่งขึ้นกับ “จำนวน” ไม่ใช่ “ราคา” เช่น ขวดน้ำ, กล่องขนม
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ถ้าสินค้าน้ำหนักไม่เท่ากัน จะเกิดความไม่ยุติธรรม (ลูกค้าอาจสั่งของหนักหลายชิ้น แต่เสียค่าส่งเท่ากับของเบา)
📌 Pro Tip: ใช้เมื่อสินค้าทุกชิ้นมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ไม่เหมาะกับสินค้าหลากหลายขนาด
4. คิดตามน้ำหนักรวม
คืออะไร: ค่าส่งเปลี่ยนตามน้ำหนักรวมของสินค้า
✅ เหมาะเมื่อ:
- สินค้ามีความต่างของน้ำหนักมาก (อาหารสัตว์, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
- ต้องการให้ค่าส่งสอดคล้องกับต้นทุนจริง
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ต้องใส่น้ำหนักสินค้าถูกต้องทุกชิ้น ไม่เช่นนั้นระบบจะคำนวณผิด
- ถ้าน้ำหนักในระบบไม่ตรงกับความจริง อาจเกิดปัญหาตอนร้านจ่ายค่าขนส่งจริง
📌 Pro Tip: ใส่น้ำหนักเผื่อบรรจุภัณฑ์เล็กน้อย ป้องกันปัญหา oversize ตอนขนส่งจริง
5. คิดตามจำนวนชิ้นที่สั่งซื้อ
คืออะไร: กำหนดค่าส่งชิ้นแรก และค่าส่งชิ้นถัดไปที่ถูกลง
✅ เหมาะเมื่อ:
- ธุรกิจที่มี “ต้นทุนคงที่” สำหรับการส่งกล่องแรก เช่น ค่าแพ็ก + ค่าส่งขั้นต่ำ
- ตัวอย่าง: เสื้อผ้า, หนังสือ, อุปกรณ์เสริม
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ไม่เหมาะถ้าสินค้าหนักมาก เพราะชิ้นเพิ่มจริง ๆ อาจไม่ได้ต้นทุนถูกลง
📌 Pro Tip: ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ซื้อเพิ่มอีกชิ้นไม่เสียค่าส่งมาก” → กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่มได้ง่าย
6. คิดตามรหัสไปรษณีย์
คืออะไร: ค่าส่งแตกต่างกันตามพื้นที่ (Zip Code)
✅ เหมาะเมื่อ:
- ต้องการควบคุมต้นทุนขนส่ง เช่น ต่างจังหวัด/พื้นที่ห่างไกลแพงกว่า
- ใช้ทำ แคมเปญพิเศษเฉพาะพื้นที่ เช่น “ส่งฟรีเฉพาะลูกค้าในกรุงเทพฯ”
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ถ้าลืมใส่ Zip Code บางพื้นที่ ลูกค้าในเขตนั้นจะ “ไม่มีวิธีจัดส่ง” ที่ checkout
- ต้องอัปเดต Zip Code หากบริษัทขนส่งเปลี่ยนโซน
📌 ตัวเลือกการตั้งค่า
- กำหนดเขตพื้นที่ (Zip Code) + ค่าส่ง
- เพิ่มหลายเขตพื้นที่ได้
- เงื่อนไขโปรโมชั่นการจัดส่ง
- ซื้อสินค้ามากกว่ากี่ชิ้น → ลด/ฟรีค่าส่ง
- ซื้อสินค้ามากกว่า (บาท) → ลด/ฟรีค่าส่ง
- จัดส่งภายใน … วันทำการ → ระบุ SLA ให้ลูกค้าเห็นชัด
📌 Pro Tip: ใช้คู่กับ LINE OA broadcast “ส่งฟรีเฉพาะพื้นที่คุณ” เพื่อสร้างแคมเปญเจาะจงพื้นที่ได้ผลดี
7. คิดตามน้ำหนักรวมโดยจำกัดน้ำหนักต่อพัสดุ
คืออะไร: ระบบจะ “ตัดตะกร้าออกเป็นหลายกล่อง” อัตโนมัติ เมื่อเกินน้ำหนักที่กำหนด เช่น ไม่เกิน 1,000 กรัมต่อกล่อง
✅ เหมาะเมื่อ:
- สินค้าหนัก/ขนาดใหญ่ ต้องแยกกล่องส่ง เช่น ข้าวสาร, อาหารสัตว์, สินค้า bulk order
⚠️ ข้อควรระวัง:
- ถ้าไม่ได้กำหนด “ค่าส่งสูงสุดต่อออเดอร์” อาจเกิด case ที่ลูกค้าต้องจ่ายค่าส่งแพงเกินจริง
- ต้องใส่ “น้ำหนักรวมสูงสุดต่อออเดอร์” เพื่อกันไม่ให้ลูกค้าสั่งเกินความเป็นจริงของการจัดส่ง
📌 Pro Tip: ใช้ Cap ค่าส่งสูงสุดต่อออเดอร์ เพื่อไม่ให้ลูกค้าช็อกกับค่าส่งหลายกล่อง
ตารางสรุป: วิธีไหนเหมาะกับคุณ?
วิธีการคิดค่าจัดส่ง | ใช้เมื่อ… | หลีกเลี่ยงเมื่อ… |
---|---|---|
Flat Rate | สินค้าน้ำหนักใกล้เคียง, ต้องการความง่าย | มีทั้งของเบาและหนักปนกัน |
ตามราคา | อยากกระตุ้นยอดซื้อขั้นต่ำ | Threshold ตั้งไม่สมดุล |
ตามจำนวนชิ้นรวม | สินค้าทุกชิ้นน้ำหนักใกล้เคียง | สินค้าหลากหลายขนาด |
ตามน้ำหนักรวม | สินค้าน้ำหนักต่างกันมาก | น้ำหนักสินค้าในระบบไม่แม่นยำ |
ต่อชิ้น (แรก/ถัดไป) | ต้นทุนกล่องแรกสูง, upsell ได้ | สินค้าหนักจริงจัง |
ตามรหัสไปรษณีย์ | คุมต้นทุนตามพื้นที่, ทำโปรเฉพาะพื้นที่ | ลืมใส่ Zip Code ครบทุกพื้นที่ |
ตามน้ำหนักจำกัดกล่อง | Bulk order, ต้องแยกกล่อง | ไม่ได้ใส่ Cap ค่าส่งสูงสุด |
FAQs
Q: ถ้าตั้ง Flat Rate + Weight-Based พร้อมกัน ลูกค้าเห็นอะไร?
A: ลูกค้าจะเห็นทั้งสองวิธี เลือกเองได้ → แต่ถ้ามีหลายวิธีมากเกินไป อาจสร้างความสับสน
Q: ถ้าไม่ได้ตั้งค่าประเทศ/พื้นที่ ลูกค้าจะสั่งได้ไหม?
A: ไม่ได้เลย ต้องมีการตั้งค่าประเทศหรือโซนที่รองรับ
Q: ทำไมลูกค้าบางคน checkout ไม่เจอวิธีจัดส่ง?
A: มักเกิดจาก 2 สาเหตุ → (1) ไม่มีการตั้งประเทศ/Zip Code ครอบคลุม (2) เงื่อนไขโปรโมชั่นไม่เข้า scope
👉 อ่านต่อ: วิธีตั้งค่าช่องทางการจัดส่งสินค้าแบบกำหนดเอง (Delivery Method) บน BentoWeb
อัปเดตเมื่อ: 20/08/2025
ขอบคุณ!