บทความเกี่ยวกับ: ตั้งค่าการจัดส่งสินค้า

วิธีการคิดและการกำหนดราคาค่าจัดส่ง

ค่าจัดส่งไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ต้องเก็บจากลูกค้า แต่คือ กลยุทธ์ ที่จะทำให้ร้านค้าปิดการขายได้ง่ายขึ้น หรือใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่ม


BentoWeb มีหลายวิธีในการตั้งค่าค่าจัดส่ง คุณควรเข้าใจ ข้อดี–ข้อควรระวัง ของแต่ละแบบ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด


👉 สำหรับขั้นตอนการตั้งค่าในระบบ: วิธีตั้งค่าช่องทางการจัดส่งสินค้าแบบกำหนดเอง (Delivery Method)



1. Flat Rate (คงที่)

คืออะไร: เก็บค่าจัดส่งราคาเดียวต่อออเดอร์ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อกี่ชิ้นหรือน้ำหนักเท่าไร


Flat Rate — ค่าจัดส่ง 50 บาทต่อออเดอร์


เหมาะเมื่อ:

  • สินค้าส่วนใหญ่มีน้ำหนัก/ขนาดใกล้เคียงกัน
  • ต้องการความเรียบง่าย ลูกค้ารู้ชัดว่าค่าส่งเท่าไหร่


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ถ้าขายทั้งของเบาและของหนัก อาจทำให้บางออเดอร์ขาดทุนค่าขนส่ง
  • การตั้งค่าช่องทางการจัดส่งที่คำนวนแบบ Flat Rate หลายตัวพร้อมกัน อาจทำให้ลูกค้าสับสนตอน checkout


📌 Pro Tip: ใส่ 0 เพื่อทำเป็น Free Shipping ได้ทันที



2. คิดตามราคารวมในตะกร้า

คืออะไร: กำหนดค่าส่งตามยอดซื้อรวม เช่น ยอดน้อยเสียค่าส่งมาก แต่ถ้าซื้อถึงขั้นต่ำส่งฟรี


สั่งไม่เกิน 300 ค่าส่ง 150, 301–500 ค่าส่ง 50, เกิน 500 ส่งฟรี


เหมาะเมื่อ:

  • ใช้เป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดเฉลี่ย (Average Order Value)
  • กระตุ้นให้ลูกค้า "ซื้อเพิ่มอีกนิดเพื่อให้ได้ส่งฟรี"


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ต้องวาง threshold ให้ดี ถ้าตั้งสูงเกินไป ลูกค้าอาจรู้สึกว่าเอื้อมไม่ถึง
  • ถ้า threshold ต่ำเกินไป อาจทำให้ร้านเสียกำไร


📌 Pro Tip: ตั้ง threshold ให้สัมพันธ์กับ ยอดซื้อเฉลี่ยปัจจุบัน ของร้าน เช่น ถ้าลูกค้าซื้อเฉลี่ย 800 บาท → ตั้ง threshold ฟรีค่าส่งที่ 1,000 บาท จะกระตุ้นให้ลูกค้าเพิ่มสินค้าได้โดยไม่ยากเกินไป



3. คิดตามจำนวนสินค้ารวม

คืออะไร: ค่าส่งเปลี่ยนตามจำนวนชิ้นรวมในตะกร้า


ไม่เกิน 5 ชิ้น ค่าส่ง 150, 6–15 ชิ้น ค่าส่ง 200, มากกว่า 15 ชิ้น ส่งฟรี


เหมาะเมื่อ:

  • ขายสินค้าเล็ก ๆ ที่ต้นทุนจัดส่งขึ้นกับ “จำนวน” ไม่ใช่ “ราคา” เช่น ขวดน้ำ, กล่องขนม


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ถ้าสินค้าน้ำหนักไม่เท่ากัน จะเกิดความไม่ยุติธรรม (ลูกค้าอาจสั่งของหนักหลายชิ้น แต่เสียค่าส่งเท่ากับของเบา)


📌 Pro Tip: ใช้เมื่อสินค้าทุกชิ้นมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ไม่เหมาะกับสินค้าหลากหลายขนาด



4. คิดตามน้ำหนักรวม

คืออะไร: ค่าส่งเปลี่ยนตามน้ำหนักรวมของสินค้า


ตามน้ำหนักรวมในตะกร้า — ยิ่งหนัก ค่าส่งยิ่งเพิ่ม


เหมาะเมื่อ:

  • สินค้ามีความต่างของน้ำหนักมาก (อาหารสัตว์, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
  • ต้องการให้ค่าส่งสอดคล้องกับต้นทุนจริง


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ต้องใส่น้ำหนักสินค้าถูกต้องทุกชิ้น ไม่เช่นนั้นระบบจะคำนวณผิด
  • ถ้าน้ำหนักในระบบไม่ตรงกับความจริง อาจเกิดปัญหาตอนร้านจ่ายค่าขนส่งจริง


📌 Pro Tip: ใส่น้ำหนักเผื่อบรรจุภัณฑ์เล็กน้อย ป้องกันปัญหา oversize ตอนขนส่งจริง



5. คิดตามจำนวนชิ้นที่สั่งซื้อ

คืออะไร: กำหนดค่าส่งชิ้นแรก และค่าส่งชิ้นถัดไปที่ถูกลง


ตามจำนวนชิ้น — ยิ่งซื้อเยอะ ค่าส่งต่อชิ้นยิ่งถูก


เหมาะเมื่อ:

  • ธุรกิจที่มี “ต้นทุนคงที่” สำหรับการส่งกล่องแรก เช่น ค่าแพ็ก + ค่าส่งขั้นต่ำ
  • ตัวอย่าง: เสื้อผ้า, หนังสือ, อุปกรณ์เสริม


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ไม่เหมาะถ้าสินค้าหนักมาก เพราะชิ้นเพิ่มจริง ๆ อาจไม่ได้ต้นทุนถูกลง


📌 Pro Tip: ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ซื้อเพิ่มอีกชิ้นไม่เสียค่าส่งมาก” → กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่มได้ง่าย



6. คิดตามรหัสไปรษณีย์

คืออะไร: ค่าส่งแตกต่างกันตามพื้นที่ (Zip Code)


ค่าจัดส่ง 250–350 บาท (ฟรีเมื่อสั่งเกิน 2,000)


เหมาะเมื่อ:

  • ต้องการควบคุมต้นทุนขนส่ง เช่น ต่างจังหวัด/พื้นที่ห่างไกลแพงกว่า
  • ใช้ทำ แคมเปญพิเศษเฉพาะพื้นที่ เช่น “ส่งฟรีเฉพาะลูกค้าในกรุงเทพฯ”


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ถ้าลืมใส่ Zip Code บางพื้นที่ ลูกค้าในเขตนั้นจะ “ไม่มีวิธีจัดส่ง” ที่ checkout
  • ต้องอัปเดต Zip Code หากบริษัทขนส่งเปลี่ยนโซน


📌 ตัวเลือกการตั้งค่า

  • กำหนดเขตพื้นที่ (Zip Code) + ค่าส่ง
  • เพิ่มหลายเขตพื้นที่ได้
  • เงื่อนไขโปรโมชั่นการจัดส่ง
  1. ซื้อสินค้ามากกว่ากี่ชิ้น → ลด/ฟรีค่าส่ง
  2. ซื้อสินค้ามากกว่า (บาท) → ลด/ฟรีค่าส่ง
  • จัดส่งภายใน … วันทำการ → ระบุ SLA ให้ลูกค้าเห็นชัด


📌 Pro Tip: ใช้คู่กับ LINE OA broadcast “ส่งฟรีเฉพาะพื้นที่คุณ” เพื่อสร้างแคมเปญเจาะจงพื้นที่ได้ผลดี



7. คิดตามน้ำหนักรวมโดยจำกัดน้ำหนักต่อพัสดุ

คืออะไร: ระบบจะ “ตัดตะกร้าออกเป็นหลายกล่อง” อัตโนมัติ เมื่อเกินน้ำหนักที่กำหนด เช่น ไม่เกิน 1,000 กรัมต่อกล่อง


แยกคำนวนออกเป็นหลายกล่องให้อัตโนมัติ


เหมาะเมื่อ:

  • สินค้าหนัก/ขนาดใหญ่ ต้องแยกกล่องส่ง เช่น ข้าวสาร, อาหารสัตว์, สินค้า bulk order


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ถ้าไม่ได้กำหนด “ค่าส่งสูงสุดต่อออเดอร์” อาจเกิด case ที่ลูกค้าต้องจ่ายค่าส่งแพงเกินจริง
  • ต้องใส่ “น้ำหนักรวมสูงสุดต่อออเดอร์” เพื่อกันไม่ให้ลูกค้าสั่งเกินความเป็นจริงของการจัดส่ง


📌 Pro Tip: ใช้ Cap ค่าส่งสูงสุดต่อออเดอร์ เพื่อไม่ให้ลูกค้าช็อกกับค่าส่งหลายกล่อง



ตารางสรุป: วิธีไหนเหมาะกับคุณ?


วิธีการคิดค่าจัดส่ง

ใช้เมื่อ…

หลีกเลี่ยงเมื่อ…

Flat Rate

สินค้าน้ำหนักใกล้เคียง, ต้องการความง่าย

มีทั้งของเบาและหนักปนกัน

ตามราคา

อยากกระตุ้นยอดซื้อขั้นต่ำ

Threshold ตั้งไม่สมดุล

ตามจำนวนชิ้นรวม

สินค้าทุกชิ้นน้ำหนักใกล้เคียง

สินค้าหลากหลายขนาด

ตามน้ำหนักรวม

สินค้าน้ำหนักต่างกันมาก

น้ำหนักสินค้าในระบบไม่แม่นยำ

ต่อชิ้น (แรก/ถัดไป)

ต้นทุนกล่องแรกสูง, upsell ได้

สินค้าหนักจริงจัง

ตามรหัสไปรษณีย์

คุมต้นทุนตามพื้นที่, ทำโปรเฉพาะพื้นที่

ลืมใส่ Zip Code ครบทุกพื้นที่

ตามน้ำหนักจำกัดกล่อง

Bulk order, ต้องแยกกล่อง

ไม่ได้ใส่ Cap ค่าส่งสูงสุด



FAQs


Q: ถ้าตั้ง Flat Rate + Weight-Based พร้อมกัน ลูกค้าเห็นอะไร?

A: ลูกค้าจะเห็นทั้งสองวิธี เลือกเองได้ → แต่ถ้ามีหลายวิธีมากเกินไป อาจสร้างความสับสน


Q: ถ้าไม่ได้ตั้งค่าประเทศ/พื้นที่ ลูกค้าจะสั่งได้ไหม?

A: ไม่ได้เลย ต้องมีการตั้งค่าประเทศหรือโซนที่รองรับ


Q: ทำไมลูกค้าบางคน checkout ไม่เจอวิธีจัดส่ง?

A: มักเกิดจาก 2 สาเหตุ → (1) ไม่มีการตั้งประเทศ/Zip Code ครอบคลุม (2) เงื่อนไขโปรโมชั่นไม่เข้า scope



👉 อ่านต่อ: วิธีตั้งค่าช่องทางการจัดส่งสินค้าแบบกำหนดเอง (Delivery Method) บน BentoWeb

อัปเดตเมื่อ: 20/08/2025

บทความนี้เป็นประโยชน์หรือไม่?

แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ

ยกเลิก

ขอบคุณ!